เสาเข็มแบบตอก (Driven Piles)
เสาเข็มแบบตอก หรือเสาเข็มที่ถูกติดตั้งโดยการตอก เป็นวิธีการที่ใช้ในการก่อสร้างเพื่อเสริมความแข็งแรงของพื้นดินในบริเวณที่ต้องการสร้างอาคารหรือโครงสร้างขนาดใหญ่ โดยเสาเข็มจะถูกตอกลงไปในดินจนกระทั่งได้รับแรงต้านที่เพียงพอเพื่อรองรับน้ำหนักของโครงสร้าง
ความแตกต่างระหว่าง Blow Count และ Last 10 Blow
1. Blow Count (จำนวนครั้งการตอก):
– หมายถึงจำนวนครั้งที่ใช้ตอกเสาเข็มลงไปในดินจนกระทั่งเสาเข็มได้ตำแหน่งและความลึกที่ต้องการ
– มักจะถูกบันทึกในระหว่างกระบวนการตอกเพื่อประเมินความสามารถในการรับน้ำหนักของเสาเข็ม
– ค่านี้ช่วยให้วิศวกรสามารถประเมินสภาพของดินและการตอกได้ ว่าเสาเข็มจะต้องตอกเพิ่มหรือหยุดตอกเพื่อป้องกันการเสียหาย
2. Last 10 Blow (จำนวนครั้งการตอกสุดท้าย 10 ครั้ง):
– เป็นจำนวนครั้งการตอกสุดท้ายที่ถูกบันทึกในขณะที่เสาเข็มใกล้จะถึงตำแหน่งสุดท้าย
– ใช้เพื่อประเมินความสามารถในการรับน้ำหนักของเสาเข็ม ณ จุดนั้นๆ และตรวจสอบว่าเสาเข็มถึงความลึกที่ต้องการหรือยัง
– Last 10 Blow นี้จะมีความสำคัญในการตรวจสอบความมั่นคงของเสาเข็มในระยะสุดท้ายของการตอก
การใช้ Blow Count และ Last 10 Blow ในการก่อสร้างเพื่อป้องกันการทรุดตัวของงานพื้นอาคาร
1. Blow Count:
– เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการควบคุมกระบวนการตอกเสาเข็ม โดยการบันทึกจำนวนครั้งการตอกเสาเข็มในแต่ละชั้นดิน ทำให้สามารถตรวจสอบและประเมินความสามารถในการรับน้ำหนักของดินในแต่ละชั้นได้อย่างแม่นยำ
– การวิเคราะห์ Blow Count ช่วยให้วิศวกรสามารถปรับกระบวนการตอกเสาเข็มให้เหมาะสมกับสภาพดินในบริเวณนั้นๆ ทำให้เสาเข็มสามารถรองรับน้ำหนักของโครงสร้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. Last 10 Blow:
– ใช้เป็นตัวชี้วัดในการตรวจสอบความมั่นคงของเสาเข็มเมื่อถึงระยะสุดท้ายของการตอก
– ช่วยให้วิศวกรสามารถตรวจสอบว่าเสาเข็มถึงความลึกที่ต้องการและสามารถรับน้ำหนักโครงสร้างได้อย่างปลอดภัย
– Last 10 Blow ช่วยในการตรวจสอบว่าเสาเข็มไม่ถูกตอกเกินหรือเกินไปในดินที่มีความสามารถในการรับน้ำหนักน้อย ซึ่งอาจทำให้เสาเข็มเสียหายหรือโครงสร้างทรุดตัวได้
สรุป
การใช้ Blow Count และ Last 10 Blow เป็นเครื่องมือสำคัญในการควบคุมและตรวจสอบกระบวนการตอกเสาเข็มในงานก่อสร้าง การบันทึกและวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้วิศวกรสามารถประเมินและปรับกระบวนการตอกเสาเข็มให้เหมาะสมกับสภาพดินในบริเวณนั้นๆ ทำให้เสาเข็มสามารถรองรับน้ำหนักของโครงสร้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ และป้องกันการทรุดตัวของงานพื้นอาคารได้ในระยะยาว